หนึ่งในสาเหตุของคนที่ตัดแว่นใหม่แต่ยังมองไม่ชัดคือ ตำแหน่งเซ็นเตอร์ของเลนส์กับเซ็นเตอร์ของตาไม่ตรงกัน ข้อผิดพลาดที่ว่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมถึงส่งผลเสียอย่างมากกับคนที่มีค่าสายตาเยอะ
“เซ็นเตอร์ตา” คืออะไร
ตำแหน่งเซ็นเตอร์ตาของแต่ละคนต่างกัน เป็นค่าเฉพาะบุคคล และส่งผลอย่างมากต่อการประกอบเลนส์แว่นที่ถูกต้องของคนนั้นๆ จึงถือเป็นจุดสำคัญจุดแรกของการวัดค่าสายตาทั้งหมด นักทัศนมาตรจำเป็นต้องหาตำแหน่งของเซ็นเตอร์ตาแต่ละข้างเพื่อตั้งค่า PD ที่ถูกต้อง หากตำแหน่งผิดค่าที่ได้ทั้งหมดก็อาจจะเพี้ยนไปด้วย
โดยตำแหน่งเซ็นเตอร์ตา หากมองผ่านเลนส์ในท่ามองตรง ไม่ก้ม ไม่เงย ระยะห่างระหว่างกึ่งกลางตาดำทั้งสองข้าง แกนแนวนอน เรียกว่า PD (Pupillary Distance) และ ความสูงจากขอบล่างสุดของเลนส์ถึงกึ่งกลางตาดำ แกนแนวตั้ง เรียกว่า FH (Fitting Height)


เกิดอะไรขึ้นเมื่อ ‘เซ็นเตอร์เลนส์’ กับ ‘เซ็นเตอร์ตา’ ไม่ตรงกัน
สิ่งที่เจอแน่ๆ คือ “ภาพไม่คมชัด” และอาจส่งผลต่อสุขภาพตาในระยะยาว เกิดขึ้นจากผลข้างเคียงที่เรียกว่า ‘Prism Effect’ เรียกง่ายๆ ว่า เกิดปริซึมในแว่น มีการเบี่ยงเบนของแสงที่เข้ามาในตาจนไปรบกวนการทำงานของกล้ามเนื้อตา โดยเฉพาะผู้ที่มีค่าสายตามาก จะยิ่งทำให้เกิดค่าปริซึมในแว่นมาก เมื่อมองผ่านเลนส์จะพบว่าตำแหน่งของวัตถุเพี้ยนไปจากตำแหน่งจริง ดวงตาและกล้ามเนื้อตาจึงต้องปรับมากขึ้นเพื่อชดเชยภาพที่เพี้ยนให้กลับมาสมจริง เมื่อกล้ามเนื้อตาทำงานผิดปกติทำให้เกิดอาการปวดตาและปวดหัวรุนแรงถึงขั้นเห็นภาพซ้อนได้
กำลังของค่าสายตาบนเลนส์ มีผลต่อความรุนแรงของ ‘Prism Effect’ ซึ่งคำนวนได้จากสูตร P = CF P = ปริมาณความรุนแรงของปริซึม C = ระยะห่างที่คลาดเคลื่อนไปจากเซนเตอร์ F = กำลังของค่าสายตาบนเลนส์
ตัวอย่างที่ 1 เลนส์มีกำลังค่าสายตา -10.00D (สั้น 1000) ประกอบเซนเตอร์คลาดเคลื่อนไป 0.2cm เมื่อเข้าสูตรจะได้ P = 10.00×0.2 = 2Prism D.
ตัวอย่างที่ 2 เลนส์มีกำลังค่าสายตา -3.00D (สั้น 300) ประกอบเซนเตอร์คลาดเคลื่อนไป 0.2cm เมื่อเข้าสูตรจะได้ P = 3.00×0.2 = 0.6Prism D.
จะเห็นว่า หากค่าเซ็นเตอร์เพียง 0.2 cm เท่ากัน แต่ในคนที่มีค่าสายตาสูงกว่า จะทำให้เกิด Prism Effect ได้มากกว่า 2-3 เท่า ซึ่งค่า 2 Prism D. นั้นจะมีผลกระทบต่อกล้ามเนื้อตาและระบบการมองเห็นอย่างมีนัยสำคัญ
จริงๆ แล้วดวงตาของทุกคนมีความสามารถในการชดเชย ‘Prism Effect’ เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ดวงตาจะปรับตัวเพื่อให้มองเห็นคมชัดอยู่แต่อาจเกิดอาการไม่สบายตาและปวดหัวเป็นระยะ โดยเฉพาะกับคนที่มีค่าสายตาเยอะๆ เมื่อไรก็ตามที่ดวงตาชดเชยความผิดพลาดจากการมองเห็นไม่ไหว จะมองเห็นภาพแยก ภาพซ้อน เช่น มองเห็นดินสอแท่งเดียวแยกออกเป็นสองแท่ง เวลาหยิบดินสอก็จะไม่รู้ว่าแท่งไหนคือของจริง
แล้ว ‘ค่าพารามิเตอร์’ สำคัญอย่างไรกับความคมชัด
รู้หรือไม่ว่า ค่าพารามิเตอร์ (Frame Parameter) เกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงหน้า สันจมูก ไปจนถึงหู เพราะตำแหน่งทั้งหมดที่กล่าวไปล้วนมีผลต่อองศาของแว่นที่ใส่ด้วย ค่าพารามิเตอร์ ประกอบไปด้วย
· ความโค้งหน้าแว่น Face Form Angle (FFA) ควรมีค่ามาตรฐานอยู่ที่ 5 – 7 องศา สำหรับกรอบแว่นสายตาทั่วไป เนื่องจากลูกตาของเราเคลื่อนที่แบบมีจุดหมุน หน้าแว่นจึงจำเป็นต้องโค้งเพื่อทำให้เลนส์มีระยะห่างจากตาเท่ากันในทุกองศาของการเหลือบมองแนวนอน หากหน้าแว่นมีความโค้งน้อยมากหรือเท่ากับศูนย์ จะทำให้เวลาที่เหลือบตาซ้าย-ขวา เลนส์จะมีระยะห่างจากตาไม่เท่ากัน จึงเกิดความไม่สบายตาขึ้นได้
· มุมเทหน้าแว่น Pantoscopic Tilt Angle (PTA) ควรมีค่ามาตรฐานอยู่ที่ 7 – 9 องศาสำหรับกรอบแว่นสายตาทั่วไป เพื่อทำให้จุดศูนย์กลางของเลนส์โอบล้อมจุดหมุนของตา ส่งผลให้เวลาเหลือบตามองขึ้น-ลง เลนส์จะมีระยะห่างจากตาใกล้เคียงกัน จึงมองแล้วสบายตากว่ากรอบแว่นที่มีมุมเทน้อย
· ระยะห่างระหว่างกระจกตาถึงเลนส์แว่นตา Cornea Vertex Distant (CVD) ควรมีค่ามาตรฐานอยู่ประมาณ 12 มิลลิเมตรสำหรับกรอบแว่นสายตาทั่วไป หากระยะห่างนี้คลาดเคลื่อนในคนที่มีค่าสายตาน้อยจะไม่ค่อยมีผลกระทบ แต่ในคนที่มีสายตาสั้นเกิน -4.00D ถ้าเลนส์ห่างหน้ามากไป ค่าสายตาบนเลนส์จะลดลง ในทางกลับกันถ้าเลนส์ชิดหน้ามากไป ค่าสายตาบนเลนส์ก็จะมากขึ้น เมื่อทั้งสองกรณีทำให้ค่าสายตาบนเลนส์ผิดเพี้ยนไป จะส่งผลให้ภาพคมชัดน้อยลง
คำถามคือ คนที่มีกรอบแว่นอยู่แล้วแต่ไม่สามารถปรับดัดให้ค่าพารามิเตอร์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานได้ ส่วนมากจะเป็นแว่นทรงสปอร์ต กรอบแว่นกันแดดบางรุ่น และกรอบแว่นที่ไม่สามารถปรับดัดแป้นจมูกได้ แนะนำให้เลือกใช้เลนส์สายตารุ่นเฉพาะบุคคลหรือรุ่นที่สามารถรองรับค่าพารามิเตอร์นอกเกณฑ์มาตรฐานได้
อาจกล่าวได้ว่า ค่าเซ็นเตอร์ตาและค่าพารามิเตอร์มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการวัดค่าสายตาที่ถูกต้องเลยทีเดียว เพราะต่อให้คุณรู้ค่าสายตาที่ถูกต้องแล้ว แต่เลือกเลนส์ผิด เลือกกรอบแว่นที่ไม่สอดรับกับมุมต่างๆ ของใบหน้า หรือแม้แต่ประกอบแว่นกับเลนส์โดยผู้ที่ไม่ชำนาญย่อมส่งผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ติดต่อเพื่อปรึกษาปัญหาสายตาและตรวจวัดค่าสายตาได้ที่ Occura
ติดต่อปรึกษาตรวจวัดสายตากับโอคูระ | มิติใหม่ของร้านแว่นตา พร้อมบริการแบบส่วนตัว T : 02-645-0192 l M : 081-611-6823 l Line : @occura l FB / IG : occuravision
100/74 อาคารว่องวานิช บี ชั้น 23 ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320